Quantcast
Channel: Forwardmag
Viewing all articles
Browse latest Browse all 803

J.J. Abrams บทสัมภาษณ์ใน Star Wars:The Force Awakens

$
0
0


บทสัมภาษณ์ J.J. Abrams
Star Wars: The Force Awakens

Q: คุณได้รับการทาบทามอย่างไร
A: ผมรู้จักเคธี เคนเนดี้มานานแล้ว เธอโทรมาถามผมว่าผมสนใจ “Star Wars” มั้ย ซึ่งมันเป็นการคุยโทรศัพท์ที่ทำให้ปลาบปลื้มใจที่สุด ผมตอบว่าขอบคุณ แต่ไม่ล่ะในทันทีเพราะผมรู้สึกว่าผมเคยสร้างหนังหลายเรื่องจากแฟรนไชส์มาแล้วและผมก็ไม่อยากทำอีกแล้ว แล้วไอเดียของการไปข้องเกี่ยวกับ “Star Wars” ก็เป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวในตอนแรก มันให้ความรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นงานที่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการที่เห็นได้ชัดเจน นอกเหนือจากนั้น ครอบครัวผมก็วางแผนว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน เราคิดกันไว้แล้วว่าปีนี้ของเราจะเป็นยังไงบ้าง แต่แล้วเคธีก็มาคุยกับผม ซึ่งผมก็คาดหวังว่ามันจะเป็นการปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่เธอเริ่มคุยถึงว่าหนังเรื่องนี้จะออกมาเป็นยังไง รวมถึงอิสรภาพเชิงสร้างสรรค์ของการได้ทำอะไรบางอย่าง และไอเดียของสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวละครเหล่านี้ที่พวกเรารู้จักและรัก เธอคุยถึงขั้นตอนต่อไปและตัวละครใหม่ๆ ที่อาจเป็นโฟกัสของเรื่องได้ พอเธอกลับไป ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมไม่อยากรับงานนี้ ผมบอกเธอว่าขอเวลาให้ผมคิดหน่อย หัวใจผมเต้นรัวและความคิดผมก็โลดแล่น ผมลงไปชั้นล่างหาเคที ภรรยาของผม แล้วบอกเธอว่าผมอยากจะกำกับหนังเรื่องนี้จริงๆ

Q: “Star Wars” มีความหมายอย่างไรกับคุณบ้าง
A: มันตลกดีนะครับ แต่ผมจำได้ถึงครั้งแรกที่ผมได้เห็นคำว่า “Star Wars” มันปรากฏอยู่ในนิตยสารสตาร์ล็อก ซึ่งเป็นนิตยสารสำหรับพวกที่ชื่นชอบไซไฟ ผมจำได้ว่าพอผมเห็นคำนี้ ผมก็อ่านออกเสียงดังๆ ว่า “Star Wars” มันมีอะไรบางอย่างที่ให้ความรู้สึกที่ไม่ธรรมดา ซึ่งนั่นเป็นช่วงเวลาก่อนที่หนังจะเข้าฉายด้วยซ้ำ แต่มันก็ติดอยู่ในความคิดผม ผมอายุได้ 11 ขวบและการได้ดูหนังเรื่องนั้นเป็นครั้งแรกก็ทำให้ความคิดผมเปิดกว้างมากขึ้น มันเต็มไปด้วยความอบอุ่น เรื่องโรแมนติก การมองโลกในแง่ดี เรื่องขำขันและความขัดแย้งที่เหลือเชื่อ และแน่นอน วิชวล เอฟเฟ็กต์อย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก ไม่ใช่แค่เพราะตัวหนังสนุกเหลือเกินเท่านั้น แต่เป็นเพราะมันบอกเราว่าทุกอย่างเป็นไปได้ มันบอกว่าไม่เพียงแต่คุณจะสามารถเป็นอะไรก็ได้ตามที่คุณอยากจะเป็นเท่านั้น แต่ยังมีการต่อสู้เพื่อความถูกต้องที่คุณสามารถเข้าร่วมได้ด้วย ในโลกใบนี้ มีเพื่อนพ้องและมีพันธมิตรที่คุณจะได้เจอ มีความยิ่งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นได้จากความเรียบง่ายและความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง มันเป็นเรื่องราวที่ยอดเยี่ยมของคนที่มีแต้มต่อน้อยกว่า ซึ่งบอกเล่าด้วยจินตนาการบรรเจิด เมื่อคุณพิจารณา “Star Wars” มันก็เหลือเชื่อมากที่พวกเขานำเสนอมันได้อย่างเหมาะสม ไม่ใช่แค่เรื่องราว ตัวละคร การคัดเลือกนักแสดง ไม่ใช่แค่การออกแบบ ไม่ใช่ดนตรี แต่เป็นทั้งหมด เมื่อคุณพิจารณาดูทุกอย่าง คุณจะตระหนักได้ว่าทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาอย่างเหมาะเจาะแค่ไหน…แม้กระทั่งการอ้างอิงถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนอกกล้อง สิ่งต่างๆ ที่คุณไม่รู้ คุณรู้อะไรน้อยมากในหนังเรื่องนั้น เช่นจักรวรรดิต้องการอะไรหรือความเป็นไปได้ที่ดาร์ธเวเดอร์จะเป็นพ่อของลุค หรือเลอาจะเป็นน้องสาวของเขา เรื่องพวกนี้มีอยู่จริง แต่มันก็ไม่ได้ถูกพูดถึง เพียงแต่มันมีความรู้สึกที่ว่าโลกใบนี้เป็นของจริง มีอยู่จริงและกว้างใหญ่ไพศาล มันถูกคิดขึ้นมาอย่างงดงามและได้รับการบอกเล่าอย่างวิเศษสุด สำหรับผมในตอนเป็นเด็ก มันทำให้ผมอึ้งไปเลย มันเป็นโลกที่ผมอยากจะกลับไปในทันที และผมก็มีทีมงานที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้วครับ

Q: การร่วมงานกับลอว์เรนซ์ คัสแดนเป็นยังไงบ้าง
A: หนึ่งในสิ่งที่วิเศษที่สุดและเซอร์เรียลที่สุดคือการได้รู้จักและร่วมมือกับลอว์เรนซ์ คัสแดนครับ เขาเป็นหนึ่งในคนที่รอบคอบ ชาญฉลาด ใช้ความคิดเยอะ แน่วแน่ ตลกและให้ความร่วมมือมากที่สุดเท่าที่ผมเคยพบ เขาเป็นฮีโรของผม ถ้ามันมีการประมูลให้ได้ร่วมงานกับแลร์รี คัสแดนแบบนี้ ผมคงเสนอราคาไม่หยุดแน่ ตอนที่ผมได้ทำงานกับฮัน โซโล แลร์รีก็จะแบบ “ผมคิดว่าฮันไม่น่าจะพูดแบบนั้นนะ มันไม่ใช่ฮันเลย” ผมก็จะแบบ โอเคครับ และก็จะคิดว่า “เขารู้แน่อยู่แล้วล่ะ ก็เขาเป็นคนเขียนฮัน โซโลในช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เลยนี่นา” น่ะครับ

Q: “Star Wars” คืออะไร
A: “Star Wars” เป็นหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเนื้อแท้แล้ว มันเป็นตำนานของครอบครัว เป็นดรามาของครอบครัว มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้นพบความแข็งแกร่งของตัวเอง และการพบความเชื่อมโยงกับผู้คนที่คุณคาดไม่ถึงว่าจะได้รู้จัก มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความลับ และสิ่งที่เราศรัทธา การเข้าร่วมกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวคุณเอง ความดีและความชั่ว มันมีตัวละครที่คุณรัก ตัวละครที่ทำให้คุณหัวเราะและทำให้คุณแคร์ มันมีความสมจริงใน “Star Wars” และ “The Empire Strikes Back” และ ”Return of the Jedi” ที่คุณจะรู้สึกได้ถึงความเป็นครอบครัวที่วิเศษสุด แม้ว่าพวกเขาจะไม่เกี่ยวข้องกันก็ตาม มันเป็นครอบครัวของคนที่มีแต้มต่อน้อยกว่าที่ทำงานร่วมกัน มันเป็นความรู้สึกที่ทรงพลังจริงๆ เราทุกคนอยากจะรู้สึกว่า ถ้าเกิดสถานการณ์เลวร้าย เราก็จะได้เจอกับคนที่เราจะรักในทันที ไม่ว่าเราจะรักพวกเขาในแบบพี่น้องหรือแบบอื่น มันมีความรู้สึกว่าโลกนี้เต็มไปด้วยมิตรที่เราอาจจะเจอ ที่จะช่วยคุณสู้กับผู้ร้ายที่คุณอาจต่อกรไม่ไหว

แม้ว่ามันไม่มีข้อสงสัยเลยเกี่ยวกับโอกาสด้านภาพวิชวลที่มหาศาล ไม่ว่าจะเป็นโลกต่างๆ ที่เราเดินทางไปเยือน สิ่งมีชีวิตที่เราได้พบ อาวุธ ยานหรือภูมิประเทศต่างๆ ทั้งหมดนั่นจะไม่มีความหมายอะไรเลยถ้าคุณไม่รักคนในยานพวกนั้นหรือถ้าคุณไม่รักคนที่เลือกจะสู้ หรือในบางกรณี คนที่เลือกจะหนี ดังนั้น แก่นสำคัญของเรื่องราวนี้จะต้องเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกเรื่องราวเวิร์ค นั่นคือตัวละคร สิ่งพื้นฐานที่แลร์รีกับผมให้ความสำคัญคือการทำให้ตัวละครเหล่านี้เป็นคนที่เราจะแคร์และสนใจ เราจะทำยังไงให้พวกเขามีการตัดสินใจและมีพฤติกรรมแบบที่ทำให้เราหยุดคิด หรือตั้งคำถามที่เราอยากจะเข้าใจเกี่ยวกับพวกเขามันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเราในกระบวนการนี้ เราอยากจะหาตัวละครที่เราอยากเห็นในเรื่องราว เรารู้ว่ามันจะไม่มีการขาดแคลนอุปสรรค ความท้าทาย หรือศัตรูชั่วร้ายที่เราสามารถใส่เข้าไปในเส้นทางของพวกเขาได้น่ะครับ

ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องการผู้ร้ายที่อยู่ในเงาของดาร์ธเวเดอร์ หนึ่งในตัวร้ายในหนังที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก คุณจะสร้างตัวร้ายที่เวิร์คภายใต้เงาของเขาได้ยังไงกัน? ความงามอย่างหนึ่งของคำตอบนี้คือด้วยการที่ตัวละครยอมรับตัวเองว่าเขาอยู่ภายใต้เงาของตัวละครตัวนี้ เขารู้จักเวเดอร์เหมือนกันกับเรา เราอยากจะสร้างความขัดแย้งให้กับความชั่วร้ายของเขาและไม่ทำให้เขาเป็นตัวร้ายหนวดกระดิกตามแบบฉบับ แต่ทำให้เขาเป็นคนที่มีบาดแผล ผู้ร้ายที่กำลังอยู่ในขั้นตอนสร้างตัวเอง ผู้ร้ายที่กำลังฝึกตน เราอยากทำให้เขาเป็นคนที่ใฝ่ฝันจะยิ่งใหญ่ในด้านมืด นั่นเป็นประเด็นสำคัญที่เราสองคนได้พูดคุยกันครับ

Q: สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องเยี่ยมสำหรับทุกคนคือมันเต็มไปด้วยของจริงมากมาย ทำไมมันถึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณ
A: แม้ว่าผมจะรู้ว่าจะต้องมีงาน CG ในหนังเรื่องนี้ ด้วยความที่มันเป็นหนังที่มีวิชวล เอฟเฟ็กต์มหาศาล แต่มาตรฐานของมันก็จะต้องเป็นความสมจริง มาตรฐานจะต้องเป็นความจริงครับ ผมไม่เคยชื่นชอบหนังที่เป็น CG หรือกรีนสกรีนเกือบทั้งเรื่อง มันไม่ใช่ว่าคุณทำไม่ได้ และหนังบางเรื่องก็ทำได้ดี แต่ผมรู้สึกว่าตอนเป็นเด็กและผมได้ดู “Star Wars” เป็นครั้งแรก ผมมีความรู้สึกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจริงและเป็นของจริงทั้งนั้น อย่างเช่นการได้อยู่ข้างนอกแซนด์ครอว์เลอร์กับลุคและโอบี-วันในตอนที่พวกเขาได้เจอกับ C-3PO และ R2-D2 การได้เห็นรอยล้อพวกนั้นน่ะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นสิ่งที่สามารถจับต้องได้จริงๆ คุณจะรู้เลยตอนที่คุณได้ดูหนังเรื่องนี้ มันมีหลายสิ่งหลายอย่างเช่นลานจอดเดธ สตาร์ ทั้งลุคและสเกลของมัน มันมีบางช่วงเวลาที่มันจะปรากฏสเกลในกล้อง และคุณก็จะมองย้อนกลับไปว่าพวกเขาทำได้ยังไง ในบางครั้ง มันก็เป็นฉากขนาดใหญ่จริงๆ แต่บางครั้ง มันก็เป็นการใช้มุมมองแบบบีบอัดที่ชาญฉลาด ด้วยการใช้ความมืดเพื่อบอกความนัยเกี่ยวกับลานจอดในฐานทัพกบฏ แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่สมจริงมากๆ ผมก็เลยรู้สึกว่า สำหรับพวกสิ่งมีชีวิตและฉากต่างๆ มันเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ที่เราจะทำให้มันให้ความรู้สึกสมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในตอนที่คุณได้ดูหนังเรื่องนี้ คุณจะรู้เลยว่ามันเป็นของจริง ลักษณะที่แสงตกกระทบมัน ลักษณะที่ตัวละครต่างๆ กลมกลืนไปกับฉากน่ะครับ

สำหรับ CG ด้วยความที่คุณสามารถใส่จุดขยับลงบนตัวละครได้แบบไม่จำกัด มันก็เลยมีความไหลลื่นในแบบที่ลดทอนความจริงไป คุณจะรู้ว่ามันไม่ใช่ แต่พอคุณมีตัวละครที่เหลือเชื่อ หรือหน้ากากอนิเมโทรนิค แบบที่นีล สแกนลัน และทีมงานของเขาได้สร้างขึ้น คุณก็จะมีสิ่งที่สมจริงและจับต้องได้ แม้ว่ามันอาจจะมีจุดขยับแค่ 16 หรือ 24 จุด แต่มันกลับมีความสมจริง 100% เพราะคุณจะได้เห็นมันในชั่วขณะนั้น มันมีความแตกต่างระหว่างการดูเวอร์ชัน CG ของโยดาและโยดาที่เป็นหุ่นเชิด หุ่นเชิดโยดาเป็นอะไรที่เรียบง่ายมาก แต่คุณก็เลือกใช่มันเพราะมันอยู่ตรงนั้นจริงๆ แล้วนักแสดงที่ทำงานกับมันก็ทำให้มันกลายเป็นของจริงครับ คุณจะรู้ว่ามันเป็นของจริง การมีหุ่น BB-8 เป็นตัวละครที่เกือบจะเป็นของจริง 100% เป็นเรื่องเยี่ยม ไม่เพียงเพราะว่ามันดูดีเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างอะไรบางอย่างให้เดซี จอห์น แฮร์ริสันและคนอื่นๆ ได้ทำงานด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องแสแสร้งว่ามีใครบางคนอยู่ตรงนั้น เดซีและจอห์นมอง BB-8 ว่าเป็นเหมือนเพื่อนร่วมแสดง เป็นตัวละครจริงๆ นั่นเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเป็นตัวละครจริงๆ ที่จับต้องได้ ซึ่งไม่ใช่แต่เฉพาะนักแสดงเท่านั้นครับ

Q: ช่วยเล่าถึงการจำลองยานมิลเลนเนียม ฟัลคอนขึ้นมาใหม่หน่อย
A: ยานมิลเลนเนียม ฟัลคอนก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่กลับมาใหม่เหมือนกับตัวละครที่เป็นคนนั่นแหละครับ มันมีความรู้สึกพิลึกมากๆ ของการกลับไปสู่สิ่งที่คุณรู้จักดีเหลือเกิน มันเหมือนกับการพูดว่า “ฉันจะเปิดประตูเวทมนตร์บานนี้นะ” แล้วด้านหลังประตูเวทมนตร์บานนี้ก็คือห้องนอนของคุณตอนอายุ 9 ขวบ คุณสามารถเดินเข้าไปในห้องนอนห้องนั้น และรู้สึกถึงมันได้ ได้กลิ่นมัน คุณสามารถเปิดลิ้นชักออกแล้วเจอสิ่งที่คุณเคยมีได้ อะไรจะอยู่ในโต๊ะตัวนั้น อะไรจะอยู่ใต้โต๊ะคุณ ความรู้สึกนั้นเป็นของคุณ และคุณก็รู้ดีอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อคุณหวนกลับไป มันก็จะต้องมีหน้าตาเหมือนกับที่คุณจำได้ มันจะต้องเป็นสิ่งที่คุณรู้จักครับ

เราก็เลยทำให้แน่ใจว่าเราจะจำลองยานฟัลคอนขึ้นมาใหม่ให้เหมือนเดิมเกือบทั้งหมด เรามีทีมงานที่เหลือเชื่อที่สุด ผมชมพวกเขาได้ไม่รู้จักจบจักสิ้นเลยครับ มาร์ค แฮร์ริส ผู้กำกับศิลป์ของเรา ที่เคยทำงานใน “The Empire Strikes Back” เป็นเหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่คิดหำตอบว่าฟัลคอนเปลี่ยนแปลงจากตอนใน “Star Wars” เป็นใน “Empire” ยังไง ขนาดของห้องโดยสารจะขยายออก สเกลของยานใหญ่ขึ้นในภาคที่สอง เราตระหนักได้ว่าสำหรับสิ่งต่างๆ ที่คุณคิดว่ายิ่งใหญ่อยู่แล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับพวกมัน คุณจะไม่สามารถยึดติดกับสิ่งที่คุณคิดว่ามันเป็น และทำในสิ่งที่พวกเขาทำได้ ถ้าบางสิ่งต้องถูกปรับเปลี่ยน คุณก็ต้องทำ เพียงแต่มันจะมีรูปร่างหน้าตาหรือเสียงแตกต่างไปจากยานที่คุณรู้จักไม่ได้ เราต้องใช้แรงงานมหาศาลอย่างเหลือเชื่อในการสร้างมันให้เป็นแบบที่เรารู้จักน่ะครับ

Q: ช่วยพูดถึงเดซี ริดลีย์หน่อย เธอเป็นยังไงบ้าง
A: เราพิจารณาผู้คนจำนวนมากเป็นเวลานานเลยครับ สิ่งที่เรามองหาคือคนที่รู้สึกว่าเธอสามารถทำได้ทุกอย่าง มันบ้าก็จริงแต่ตัวละครตัวนี้จะต้องถูกเนรมิตชีวิตขึ้นมาโดยคนที่ไม่มีขีดจำกัด เราต้องการคนที่จะมีทั้งความเปราะบาง ความแข็งแกร่ง ความกลัว ความช่างคิด ความอ่อนหวานและความสับสน ที่จะแบกรับบทนี้ได้และถ่ายทอดมันออกมาอย่างสมจริง เราต้องการคนที่สามารถล้วงลึกเข้าไปในสภาพจิตใจของเธอได้และแสดงแบบเดียวกันนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก และในบางครั้ง ก็ต้องแสดงกับนักแสดงหน้าใหม่ บางครั้ง ก็แสดงกับนักแสดงที่ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง หรือในบางครั้ง ก็กับนักแสดงในตำนาน เธอต้องทำทั้งหมดนี่ได้ และที่สำคัญที่สุด เธอจะต้องเป็นดาราโนเนมครับ

ผมไม่อยากได้คนที่ทุกคนรู้จัก คนที่คุณเคยเห็นมาก่อนในผลงานอีกเรื่อง การหาคนที่ไม่มีใครรู้จัก ที่สามารถทำทั้งหมดนี่ได้ ใช้เวลานานเลยล่ะครับ โชคดีที่เรามีนีนา โกลด์และธีโอ ปาร์คในอังกฤษและเอพริล เว็บสเตอร์กับอลิสซา ไวส์เบิร์กในอเมริกา คอยช่วยเราตามหาคนๆ นี้ มันเป็นการค้นหาที่ยาวนานตามความจำเป็น เราได้พบคนเยี่ยมๆ หลายคน แต่จนกระทั่งเราได้พบกับเดซี เราถึงคิดว่าเราพบคนที่สามารถแสดงความสดใส อ่อนหวานออกมาได้ เธอมีรอยยิ้มที่เหลือเชื่อ เธอเป็นคนสวย เธอสามารถแสดงได้ทั้งความมีชีวิตชีวาและความแข็งแกร่ง กับอารมณ์อ่อนไหวครับ

ในตอนที่เธอเริ่มฝึกต่อสู้ เธอก็แสดงความเฉียบขาดออกมา เธอแสดงท่าทีดุดัน กัดฟัน ก้าวร้าวแบบที่เธอทำได้ออกมา ในแง่หนึ่ง เธอเป็นคนที่เราเข้าถึงได้ เป็นคนเปราะบาง เป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่ไร้เดียงสา แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ฉลาดสุดๆ และก็แข็งแกร่งมากๆ เธอสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้แบบไร้ขีดจำกัด ดังนั้น เมื่อเธอเข้ามา เราก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าเราได้คนที่จะกลายเป็นคนที่พิเศษสุดและโด่งดังมาแล้ว เรารู้สึกว่าเธอควรจะมาเล่นหนังเรื่องนี้ เธอดีเกินกว่าที่เราจะบอกผ่านไปได้น่ะครับ

Q: แล้วจอห์น โบเยกาที่รับบทฟินน์ล่ะ
A: ชื่อของจอห์นถูกพูดถึงตั้งแต่ช่วงแรกๆ แล้วครับ มันเป็นข้อเสนอของแลร์รีตอนที่เราคุยกันถึงที่มาที่ไปของตัวละครพวกนี้ ไอเดียของเราคือมีคนๆ หนึ่งภายใต้เครื่องแบบที่กลายมาเป็นตัวละครหลักของหนังเรื่องนี้ และเป็นหนึ่งในตัวเอกของเราด้วย ซึ่งมันน่าสนใจจริงๆ ครั้งเดียวที่เราได้เห็นคนในชุดเครื่องแบบสตอร์มทรูปเปอร์คือตอนที่ลุคกับฮันสวมมันเพื่อช่วยเลอา มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นเยี่ยมๆ ของอะไรบางอย่าง ไม่ว่าเขาจะเป็นสายลับ หรือคนทรยศ เราก็รู้ว่ามันจะเป็นวิธีที่น่าตื่นเต้นที่จะก้าวเข้าสู่โลกใบนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าเราไม่เคยได้เห็นอะไรแบบนี้มาก่อน อีกธีมหนึ่งที่ผมชื่นชอบคือมันพูดถึงเรื่องของคนที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากนั้น แล้วการที่ตัวละครหลักเป็นสตอร์มทรูปเปอร์ก็เป็นธีมที่เชื่อมโยงกับไอเดียที่ว่าคนพวกนี้เบื้องหลังหน้ากากเป็นใครกันบ้าง ตัวละครใหม่ๆ ทุกตัวล้วนแล้วแต่สวมหน้ากากตอนที่เราได้พบกับพวกเขา ไคโล เรนก็สวมหน้ากาก เรย์ก็สวมหน้ากากตอนที่คุณได้พบกับเธอครั้งแรก และฟินน์ก็ด้วยครับ


Viewing all articles
Browse latest Browse all 803

Trending Articles